ศอลิหฺ บิน อับดุลอะซีซ บิน อุษมาน
สินดีย์
แปลโดย
:
อับดุลอาซีซ
สุนธารักษ์
ตรวจทานโดย
:
ซุฟอัม อุษมาน
ที่มา
:
เว็บไซต์
www.salehs.net
2013 - 1435

هل تبحث عن السعادة ؟
« باللغة التايلاندية »
صالح بن عبد العزيز بن عثمان سندي
ترجمة:
عبدالعزيز
عبدالقادر
مراجعة:
صافي
عثمان
المصدر:
الموقع الرسمي للشيخ صالح سندي
2013 - 1435

ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา
ปรานียิ่งเสมอ
คุณกำลังแสวงหาความสุขใช่ไหม?
ความสุข คือ จุดหมายที่ทุกชีวิตบนหน้าแผ่นดินนี้แสวงหาเพื่อให้ได้รับมันมา
ซึ่งแน่นอนมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้รู้หรือคนเขลาก็ตาม
ต่างเสาะแสวงหาสาเหตุแห่งความสุข
พวกเขายอมทุ่มเทกำลังอย่างเหน็ดเหนื่อย
ในการค้นหาสิ่งต่าง ๆ
เพื่อขจัดความขัดสน
ความเจ็บปวดและความทุกข์ยาก
ทว่า ความเป็นจริงแล้วการแก้ปัญหาของพวกเขาเหล่านั้นหาใช่สิ่งที่ถูกต้องแท้จริงไม่
สิ่งที่พวกเขาหมายถึงคือ
ความสุขที่ได้รับจาก การละเล่น
ความเพลิดเพลิน
หรือสิ่งอื่น ๆ
พวกเขาอาจจะได้รับความสุขจากมัน
แต่มันเป็นเพียงแค่ความสุขชั่วขณะ
หลังจากนั้นไม่นาน
พวกเขาก็จะตื่นขึ้นมาพร้อม ๆ
กับบางสิ่งบางอย่างภายในที่สร้างความขุ่นมัวแก่ชีวิตที่สดใสของพวกเขา
หนังสือเล่มเล็ก ๆ
ที่อยู่ในมือคุณขณะนี้
อาจจะเปิดประตูให้คุณพบกับความสุขที่แท้จริง
และอาจจะเป็นตัวชักจูงคุณสู่ความผ่อนคลายทางจิตวิญญาณ
และความสงบสุขุมที่สมบูรณ์ ก็เป็นได้
ก่อนที่คุณจะอ่านมัน
ฉันขอให้คุณมีความตั้งใจ
และพยายามเปิดสติปัญญา เปิดหัวใจ
เพราะผู้มีสติปัญญา
คือผู้ที่แสวงหาสัจธรรม
ไม่ว่าใครจะเป็นผู้กล่าวมันก็ตาม
แท้จริง
สัจธรรมข้อหนึ่งที่ไม่มีผู้ใดอาจะจะปฏิเสธมันได้
ถ้าคนคนนั้นปราศจากอารมณ์ใฝ่ต่ำ ก็คือ
ความสุขที่มั่นคงจะไม่เกิดขึ้นเว้นแต่ด้วยกับการศรัทธาต่ออัลลอฮฺ
พระเจ้าผู้ทรงสร้างและเนรมิตสิ่งทั้งหลาย
และด้วยการปฏิบัติตามแนวทางของพระองค์
เพราะอัลลอฮฺคือผู้สร้างมนุษย์
และแน่นอนพระองค์คือผู้รู้ดียิ่งว่าสิ่งใดที่มอบความสุขแก่มนุษย์และสิ่งใดที่ทำให้เกิดทุกข์
สิ่งใดที่ให้คุณและสิ่งใดให้โทษ
มีนักจิตวิทยาจำนวนไม่น้อยได้ให้การยืนยันว่า
มนุษย์ผู้ที่มีศาสนา
คือบุคคลประเภทเดียวเท่านั้นที่สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและสงบใจ
เมื่อการศรัทธาต่ออัลลอฮฺคือที่ซ่อนแห่งความสุขที่มั่นคง
แล้วอะไรเล่าคือแนวทางที่จะนำไปสู่การศรัทธาที่ว่านั้น?
มีศาสนาและความเชื่อต่าง ๆ
มากมายบนโลกใบนี้
ผู้สังเกตสามารถจะเห็นได้ว่าความแตกต่างระหว่างศาสนาอันมากมายนั้นล้วนเป็นสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงในระดับรากฐานเลยทีเดียว
จึงเป็นไปไม่ได้ว่าทุกศาสนาทั้งหมดจะเป็นสัจธรรมที่ถูกต้องทั้งสิ้น
ดังนั้น อะไรเล่าคือศาสนาที่แท้จริง?
และอะไรเล่า คือความเชื่อที่อัลลอฮฺรักและชอบให้เราศรัทธา?
และอะไรเล่าคือศาสนาที่ประกันความสุขให้กับเราได้ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า?
ก่อนที่จะมีการตอบคำถามต่าง ๆ เหล่านี้
จำเป็นที่จะต้องมีการปูพื้นฐานที่ถูกต้องเสียก่อน
เพื่อดำเนินสู่การเลือกเฟ้นสิ่งที่ถูกต้องสู่ศาสนาที่แท้จริง
เพราะฉันมั่นใจอย่างแน่นอนว่าผู้ที่มีสติปัญญาทุกคนย่อมเห็นด้วยว่า
การที่มนุษย์แต่ละบุคคลเติบโตมาบนศาสนาหนึ่ง
ๆ ที่บิดา
มารดาและสังคมรอบข้างเขานับถือมันอยู่
ไม่ใช่หลักฐานที่จะบอกว่าศาสนาที่เขาศรัทธาอยู่นั้นเป็นสิ่งที่เที่ยงแท้
ตราบใดที่ยังไม่มีข้อบ่งชี้หรือหลักฐานที่รับได้อย่างชัดเจนต่อสิ่งดังกล่าว
และตราบใดที่สติปัญญายังไม่บรรลุถึงความสบายใจและความมั่นใจอย่างชัดเจนต่อสิ่งนั้นๆ
ถ้าหากสติปัญญาคือสิ่งจำแนกระหว่างมนุษย์กับสัตว์
ดังนั้นผู้ที่มีสติปัญญา
ก็จงใช้มันพิจารณาถึงประเด็นนี้
เพราะมันคือประเด็นที่สำคัญและอันตรายยิ่ง
การเดินทางอันสั้นในการท่องสำรวจความเชื่อของศาสนาต่าง ๆ
ที่หลากหลายนี้
อาจเป็นสื่อที่ดีที่สุดในการหาคำตอบที่คุณกำลังแสวงหาอยู่
ฉันจะสรุปให้คุณอย่างสั้น ๆ
และได้ใจความด้วยความเชื่อมั่นและความจริงใจอย่างบริสุทธิ์ว่า
ไม่ว่าคุณจะแสวงหาสัจธรรม ณ
ที่ไหนก็ตาม
คุณจะไม่มีวันพบเจอสิ่งอื่นใดอย่างเด็ดขาดเว้นแต่สัจธรรมอันหนึ่งเดียวเท่านั้น
นั่นคือ ศาสนาอิสลามที่แท้จริงนั่นเอง
และความสุขที่แท้จริงนั่น
มันอยู่ในอิสลามนี่เอง
กรุณาอย่ารีบร้อนในการโต้ตอบคำพูดของฉัน
และตัดบทการนำเสนอโดยไม่ทันให้ฉันพูดจบ
พึงสังเกตว่า
การที่ฉันนำเสนอมันจนเสร็จสมบูรณ์ก็ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนใดๆให้แก่คุณเลย
มิหนำซ้ำคุณอาจจะรับประโยชน์ใด ๆ
จากมันก็เป็นได้
ไม่ว่าจะอย่างไร คุณก็คือวิญญูชนผู้มีสติปัญญา
ที่สามารถแยกแยะสิ่งต่าง ๆ
และรับรู้สิ่งที่ถูกต้องจากสิ่งที่ผิดได้อยู่แล้ว
ทำไมอิสลาม คือ ศาสนาที่แท้จริง?
เป็นคำถามที่ผู้อ่านอาจตั้งคำถามขึ้นมา
ซึ่งเป็นคำถามที่ดีเลยทีเดียว
บ่งบอกว่าผู้ตั้งคำถามนั้นเป็นผู้ที่มีสติปัญญาอย่างเฉลียวฉลาดและปราดเปรื่องอย่างเด่นชัด
คำตอบสำหรับคำถามนี้
ฉันขอกล่าวว่า
ศาสนาอิสลามคือศาสนาที่รวมซึ่งลักษณะต่างๆ
ที่ดีและมีจุดเด่นบางประการที่เป็นเลิศ
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่มีปรากฏอยู่ในศาสนาใดเลยนอกจากอิสลาม
มันคือหลักฐาน
เป็นข้อบ่งชี้ว่าอิสลามเป็นศาสนาที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า
ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ว่าถูกหรือผิดอย่างไร
ด้วยการพิจารณาเนื้อหาของมันอย่างลึกซึ้งและใจเย็น
ลักษณะจุดเด่นของอิสลามนั้นมีมากมาย
ยากที่จะนำเสนอเป็นคำพูดที่จำกัดนี้ได้
และฉันจะขอนำเสนออย่างคร่าวๆ
และพอสังเขปดังต่อไปนี้
1.
ส่วนหนึ่งจากจุดเด่นที่สำคัญของอิสลาม
ก็คือมันเป็นสิ่งที่เติมความอิ่มเอิบทางด้านจิตวิญญาณให้กับมนุษย์
ทำให้ผู้ที่ศรัทธาเป็นผู้ที่มีความผูกพันกับพระผู้เป็นเจ้าอย่างต่อเนื่อง
เป็นผลทำให้ได้รับความสุขุม เยือกเย็น
และความสุขด้านจิตใจ
เป็นการปกป้องจากการเลยเถิด ฟุ้งซ่าน
และความแปรปรวนทางจิต
2.
อิสลามเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับสติปัญญาอย่างสมบูรณ์แบบ
ซึ่งทุกบทบัญญัติของอิสลามเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับสติปัญญา
ไม่มีทางที่จะขัดกันโดยเด็ดขาด
เนื่องด้วยเหตุนี้เอง เมื่อ
มีบุคคลหนึ่งเข้ารับนับถืออิสลาม
มักถูกถามว่า
ทำไมคุณถึงเข้ารับอิสลาม? เขาจะตอบว่า
ไม่มีสิ่งใดก็ตามที่อิสลามได้สั่งใช้
แล้วสติปัญญาจะค้านกับอิสลามว่าไม่น่าจะสั่งใช้ข้อนี้เลย
และไม่มีข้อห้ามใดที่อิสลามห้าม
แล้วสติปัญญาจะค้านกับอิสลามว่าไม่น่าจะห้ามสิ่งนี้เลย
ถ้าหากว่ามีศาสนามากมายที่มีอุดมการณ์พื้นฐานที่คนส่วนใหญ่ยากจะรับได้
สติปัญญาอาจจะยืนฉงนอยู่ต่อหน้าความเชื่อหลักที่แย้งไม่ได้ในศาสนานั้นๆ
แต่ในอิสลาม
เรากลับพบว่าอิสลามให้เกียรติสติปัญญา
อิสลามสั่งให้เราใช้ความคิด
อิสลามปฏิเสธความโง่เขลาเบาปัญญาและห้ามการตามอย่างตาบอด
3. อิสลามผสมผสานระหว่างศาสนาและทางโลกได้อย่างลงตัว
ให้ความสำคัญทั้งในด้านจิตวิญญาณและร่างกาย
การรับอิสลามไม่ได้หมายความว่าต้องยึดติดรูปลักษณ์ใด
ๆ เป็นการเฉพาะ
หรือต้องงดความสะดวกสบายในการดำรงชีวิต
ทว่า ในอิสลามนั้น บุคคลคนหนึ่งอาจจะเป็นผู้ที่ยึดมั่นในหลักการศาสนา
แต่เขาก็สามารถใช้ชีวิตอย่างปกติทั่วไป
อย่างดีเยี่ยมเลยทีเดียว
เขาอาจจะเป็นผู้สามารถเข้าถึงตำแหน่งและรับเกียรติคุณที่สูงสุดในสังคมก็เป็นได้
4.
ในจำนวนจุดเด่นของอิสลาม ก็คือ
เป็นศาสนาที่ครอบคลุม
ไม่ว่าด้านไหนของชีวิต
เราจะพบว่ามีระบบการจัดการด้านนั้นๆ
อยู่ในอิสลาม
ไม่ว่าจะปัญหาอะไรก็ตามแต่
อิสลามก็มีคำตอบให้
ด้วยเหตุนี้เอง
อิสลามจึงเป็นศาสนาที่เหมาะสำหรับยึดปฏิบัติในทุกกาลสมัยและทุกที่
มันจะไม่เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร
ก็ในเมื่ออิสลามได้จัดระเบียบและวางหลักพื้นฐาน
หลักการ ที่เหมาะสมไว้ในทุกๆด้าน
เริ่มจากระบบการปกครอง
และแนวทางการแก้ไขข้อขัดแย้ง
ตามด้วยระบบการค้า หุ้นส่วน
และหลักการปฏิบัติระหว่างกัน
ต่อด้วยการวางระบบความสัมพันธ์ในสังคม
การใช้ชีวิตร่วมกันในครอบครัว
และปิดท้ายด้วยการเคารพ
จรรยามารยาทตามท้องถนน
และการจัดระเบียบของมนุษย์ในทุกๆด้าน
ไม่ว่าจะเป็นการนอน การรับประทาน
การดื่ม การสวมใส่ และอีกมากมาย
…
สิ่งดังกลาวนี้ไม่ได้เป็นแบบลวกๆ รวมๆ แต่ถูกจัดไว้
ด้วยรายละเอียดปลีกย่อยที่ปราณีตยิ่ง
จนสติปัญญาต้องทึ่งกับมัน
คุณควรทราบว่า
อิสลามให้แบบอย่างแก่มนุษย์
แม้กระทั่งวิธีการสวมใส่และการถอดรองเท้า
และส่งเสริมให้ใช้มือขวาเพื่อรับประทานอาหาร
การดื่ม การจับมือ การหยิบสิ่งของ
การให้ และอีกมากมาย
ส่วนเรื่องที่น่ารังเกียจ
เช่นการชำระสิ่งสกปรก
ก็ให้มือซ้ายแทนมือขวา เป็นต้น
เมื่อถึงเวลาหลับนอน อิสลามก็สอนวิธีการนอนและหลังการตื่นนอนอย่างชัดเจน
และเมื่อมุสลิมสองคนพบปะกันในท้องถนน
อิสลามก็ได้จัดรูปแบบการทักทายระหว่างเขาทั้งสอง
ผู้ที่ขับขี่สมควรเป็นผู้เริ่มให้สลามทักทายแก่ผู้ที่เดิน
เด็กเล็กให้สลามทักทายแก่ผู้อาวุโส
คนส่วนน้อยก็ให้สลามทักทายแก่กลุ่มคนที่มากกว่า
และนี่เป็นแค่ตัวอย่างเล็กน้อยจากบทบัญญัติของอิสลามที่ครอบคลุม
และกำหนดระเบียบในทุก ๆ ด้านของชีวิต
5.
ส่วนหนึ่งจากความโดดเด่นและพิเศษของอิสลาม
คือทุก ๆ
ข้อบัญญัติของอิสลามคือการนำมาซึ่งสิ่งที่ดีงาม
สิ่งที่เป็นประโยชน์และขจัดสิ่งที่ไม่ดีออกไป
ดังนั้น บทบัญญัติต่างๆ
ของอิสลามจะนำประโยชน์กลับไปสู่ตัวมนุษย์เองและแก่สังคมของเขาด้วย
เช่น ที่อิสลามได้ห้ามการดื่มสิ่งที่มึนเมาและสิ่งเสพติดทั้งหลาย
เนื่องด้วยมันทั้งสองมีโทษที่อันตรายต่อสติปัญญา
ต่อสุขภาพ
ซึ่งคุณจะเห็นสภาพของผู้ที่มึนเมาได้ว่านั่นเป็นสภาพที่ใกล้เคียงกับสัตว์หรือสิ่งอื่นที่ไม่ใช่มนุษย์มากกว่าจะเป็นสภาพของมนุษย์ผู้มีปัญญาด้วยซ้ำ
เป็นต้น
อาชญากรรม การทะเลาะวิวาท อุบัติเหตุทางยานพาหนะ
หรือการข่มขืนกระทำชำเรา
อันมากมายที่เราเห็นคงไม่เกิดขึ้น
ถ้าหากว่าไม่มีการเสพสิ่งต่างๆ
ที่ทำให้เสียสติเช่นของพวกนี้
และเมื่ออิสลามห้ามมีสัมพันธ์ทางเพศที่นอกเหนือจากการแต่งงาน
เพื่อที่จะให้มนุษย์ได้ห่างไกลจากโรคที่อันตราย
อาทิเช่น เอดส์ หนองใน
หรือโรคทางเพศอื่นๆ
และเพื่อที่ให้สังคมได้ห่างไกลจากสภาพที่เสื่อมทรามทางศีลธรรม
และไม่ให้อนุชนรุ่นใหม่กลายเป็นสังคมเด็กถูกทิ้ง
ขาดความอบอุ่นจากแม่ ขาดการดูแลจากพ่อ
สุดท้ายก็กลายเป็นภาระของสังคมและเป็นหายนะของสังคมนั่นเอง
และเมื่ออิสลามได้สั่งใช้ให้ผู้หญิงปกปิดเรือนร่างอย่างมิดชิด
ท่ามกลางฝูงชน และชายแปลกหน้า
เพราะอิสลามมองว่าสตรีคืออัญมณีอันล้ำค่าที่ต้องหวงแหนและเก็บรักษาให้ดี
พวกนางไม่ใช่สินค้าราคาถูกที่ถูกเสนออยู่ตามท้องถนนต่อหน้าผู้คน
และเพื่อเป็นการปกป้องพวกนางจากผู้คนลามกที่มีนิสัยเสมือนสุนัขจิ้งจอกที่ไม่มีสิ่งใดสำคัญต่อพวกเขาเว้นแต่เพื่อสนองต่ออารมณ์ตัณหาอันเลวทราม
โดยไม่สนใจต่อเกียรติ คุณค่า
และความบริสุทธิ์ของสตรีเพศเลย
ในทางตรงกันข้าม อิสลามได้อนุญาตเครื่องดื่มทุกชนิดที่มีประโยชน์ปราศจากโทษ
ดังเช่นได้อนุญาตความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงหลังการแต่งงาน
ภายใต้ร่มเงาแห่งครอบครัวที่เปี่ยมสุข
ข้อสรุปก็คือ อิสลามมิได้มาเพื่อปิดกั้นอิสระและความต้องการทุกอย่างโดยสิ้นเชิง
แต่ทว่าอิสลามมาเพื่อวางและตั้งกฎระเบียบในทุกสิ่งที่เกิดประโยชน์แก่มนุษย์
แก่สังคม และโลกทั้งผอง
6.
ความพิเศษอีกด้านหนึ่งที่โดดเด่นในอิสลาม
คือ การเอาใจใส่เรื่องคุณค่า
คุณลักษณะนิสัย และจรรยามารยาท
และได้ห้ามปรามการอธรรม
การละเมิดสิทธิ
และนิสัยที่ไม่ดีทุกประการ
อิสลามเป็นศาสนาแห่งความรัก
การอยู่ร่วมกัน และเมตตากัน
อิสลามได้วางระบบความสัมพันธ์ของมนุษย์ต่อบิดามารดา
ญาติพี่น้อง เพื่อนบ้าน มิตรสหาย
และฝูงชน
ได้ปลูกฝังนิสัยที่น่าชื่นชมและจรรยามารยาทที่ดีงามที่สุดในตัวผู้ศรัทธาทุกคน
อิสลามได้ห้ามมนุษย์ใช้ชีวิตเพื่อตัวเองเพียงคนเดียว
อิสลามได้อบรมสั่งสอนให้มนุษย์รู้จักช่วยเหลือผู้อื่น
เห็นใจความรู้สึกเพื่อนมนุษย์ ดังนั้น
คนยากจน เด็กกำพร้า ผู้สูงอายุ
และแม่หม้าย
ในอิสลามพวกเขาเหล่านี้ล้วนมีสิทธิที่มุสลิมจะต้องดูแล
ต้องถือเป็นเรื่องหลัก
และจะต้องไม่มองว่าเป็นเรื่องรองที่ไม่สำคัญเท่าไรนัก
และจะต้องไม่ช่วยเหลือเพื่อหวังจะลำเลิกบุญคุณหรือดูถูกดูแคลนพวกเขา
แต่ทว่า
ต้องทำไปด้วยความตระหนักว่ามันเป็นหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติและภารกิจจำเป็นของเขาเลยทีเดียว
ในอิสลามถือเป็นบาปใหญ่สำหรับใครคนหนึ่งที่นอนหลับในสภาพที่อิ่ม
และรู้ว่าเพื่อนบ้านของเขากำลังอยู่ในสภาพที่หิวโซ
และเช่นกันอิสลามได้ห้ามบุคคลสองคนกระซิบคุยกันในขณะที่บุคคลที่สามร่วมวงอยู่ด้วย
เพื่อเป็นการถนอมและดูแลความรู้สึกต่อกัน
อิสลามได้ก้าวหน้าไปมากกว่าที่กล่าวมาด้วยซ้ำ
เพราะอิสลามได้สั่งให้เรามีความเมตตาแม้กระทั่งต่อสัตว์
และห้ามทำร้ายมันอีกด้วย
ตัวอย่างหนึ่งที่แสดงถึงความละเอียดของอิสลามในเรื่องนี้ก็คือ
อิสลามได้ห้ามการเชือดสัตว์ตัวใดๆ
ต่อหน้าตัวอื่น
ห้ามไม่ให้ลับมีดต่อหน้าสัตว์ที่จะเชือด
รวมถึงห้ามเชือดสัตว์ไม่ตายในครั้งเดียว
แท้จริง การมีสัจจะ
มีความรับผิดชอบ มีความกล้าหาญ
มีความเมตตา มีความละอาย
การรักษาสัญญา
เป็นมารยาทที่อิสลามได้ส่งเสริมอย่างยิ่ง
และเช่นเดียวกับการเยี่ยมผู้ป่วย
การเดินส่งศพผู้ตาย การทำดีต่อพ่อแม่
การเยี่ยมเยียนญาติพี่น้อง เพื่อนบ้าน
ช่วยเหลือผู้อื่น
ล้วนเป็นมารยาทที่อิสลามส่งเสริมและสั่งใช้ทั้งสิ้น
ในทางกลับกัน อิสลามได้ห้ามมุสลิมอย่างเด็ดขาดจากการอธรรม
การโกหก การหยิ่งยโส การอิจฉา
การล้อเลียนผู้อื่นหรือด่าว่าและบิดพลิ้ว
เป็นต้น
ในอิสลาม ไม่อนุญาตให้กล่าวถึงบุคคลที่สามในทางที่ไม่ดีถึงแม้จะเป็นความจริงก็ตาม
และยังได้เรียกร้องสู่การใช้จ่ายที่พอดีระหว่าง
การไม่สิ้นเปลืองจนเกินเหตุและการไม่ตระหนี่ถี่เหนียว
แท้จริงแล้ว ในยุคที่สังคมมากมายกำลังประสบปัญหาความแข็งกระด้างของจิตใจ
นิยมวัตถุอย่างเกินขอบเขต
เห็นแก่ตัวจนเลยเถิด
เรากลับพบว่าอิสลามมีทางออกในการแก้ปัญหาเหล่านี้เอาไว้อย่างดีที่สุด
คำกล่าวที่ผ่านมาข้างต้นได้ให้ความหมายสั้น
ๆ
เกี่ยวกับอิสลามและความโดดเด่นบางประการแล้ว
ซึ่งนี่คงเป็นโอกาสที่ดีที่จะกล่าวสะกิดว่า
อิสลามนี้เป็นศาสนาที่ชัดเจน
และง่ายต่อการทำความเข้าใจสำหรับทุกคน
ซึ่งเป็นศาสนาที่เปิดประตูกว้างเสมอสำหรับทุกคนที่จะเข้ารับนับถือ
ถ้าหากว่าการพูดถึงบัญญัติต่างๆ
ของอิสลามอันมากมายนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะอธิบายได้ด้วยคำพูดสั้นๆ
ณ ที่นี่จึงขออธิบายเนื้อหาหลักๆ
สักนิดหนึ่ง
เพื่อเพิ่มความเข้าใจให้เห็นภาพได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นสำหรับท่านที่ต้องการจะรู้เพิ่มเติม
ทุก ๆ หลักการและความรู้ของอิสลามเป็นสิ่งที่สำคัญ
แต่หลักการบางส่วนก็มีความสำคัญมากกว่าอีกบางส่วน
และต่อไปนี้เป็นหลักการที่สำคัญที่สุดหกประการที่จำเป็นจะต้องเชื่อมั่นด้วยหัวใจ
และอีกห้าประการสำหรับการปฏิบัติ
หลักความเชื่อทั้งหกประการมีดังนี้
1.
การศรัทธาต่ออัลลอฮฺเพียงผู้เดียว
ไม่มีภาคีใดๆ ควบคู่กับพระองค์
นั่นคือ ด้วยการที่ผู้หนึ่งศรัทธาว่า
อัลลอฮฺเพียงผู้เดียวเท่านั้นคือผู้สร้างโลกนี้และสิ่งต่างๆ
และพระองค์เพียงผู้เดียวที่บริหารจัดการตามที่พระองค์ประสงค์
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว
ดังนั้นการเคารพบูชาจะไม่เกิดขึ้นกับผู้ใดเว้นแต่กับอัลลอฮฺเท่านั้น
ซึ่งการบูชานี้คือการปฏิบัติตามหลักการและเอกลักษณ์ต่างๆ
ของอิสลาม
พร้อมกับเชื่อมั่นว่าศาสนาอื่นนอกเหนือจากอิสลามย่อมเป็นศาสนาที่โมฆะทั้งสิ้น
2. การศรัทธาต่อบรรดามลาอิกะฮฺ
มลาอิกะฮฺคือสิ่งถูกสร้างหนึ่งของอัลลอฮฺ
ที่พวกเรามองไม่เห็นในโลกนี้
พวกเขาดำรงการเคารพบูชาต่ออัลลอฮฺและไม่ทรยศพระองค์อย่างเด็ดขาด
ซึ่งอัลลอฮฺได้สั่งใช้มลาอิกะฮฺให้ปฎิบัติหน้าที่ต่าง
ๆ บนโลกนี้อย่างมากมาย เช่น
สั่งใช้ให้ญิบรีลเป็นผู้ส่งสารจากอัลลอฮฺสู่บรรดาศาสนทูต
และมลาอิกะฮฺมีกาอีล
คือผู้ที่ได้รับมอบหมายเรื่องน้ำฝน
และยังมีมลาอิกะฮฺที่ทำหน้าที่นับการงานของมนุษย์และจดบัญชีไว้เพื่อการสอบสวนในวันสิ้นโลก
และอื่นๆ อีกมากมาย
จำเป็นจะต้องเชื่อว่าบรรดามลาอิกะฮฺเหล่านี้ทำหน้าที่ต่าง ๆ
ตามที่อัลลอฮฺได้มอบหมาย
และจะไม่ปฎิบัติสิ่งใดนอกจากที่อัลลอฮฺมอบหมายไว้เท่านั้น
3.การศรัทธาต่อบรรดาคัมภีร์
คือการเชื่อมั่นว่าอัลลอฮฺได้ประทานคัมภีร์ต่าง
ๆ แก่ปวงบ่าวของพระองค์
ซึ่งมันคือคำดำรัสของอัลลอฮฺ
ที่รวมด้วยสิ่งที่ให้ความสุขแก่มนุษย์
อธิบายถึงสิ่งที่อัลลอฮฺรักและสิ่งที่พระองค์รังเกียจ
ซึ่งผู้ที่ถ่ายทอดคัมภีร์เหล่านี้ให้แก่ศาสนทูตก็คือญิบรีล
ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้ามลาอิกะฮฺ
และนบีคือผู้ถ่ายทอดแก่มนุษยชาติ
คัมภีร์ที่อัลลอฮฺได้ประทานลงมามีมากมาย อันได้แก่
คัมภีร์อัต-เตารอฮฺซึ่งถูกประทานแก่ศาสนทูตมูซา
คัมภีร์อัซ-ซะบูรถูกประทานแก่ศาสนทูตดาวูด
คัมภีร์อัล-อินญีลถูกประทานให้แก่ศาสนทูตอีซา
และคัมภีร์อัลกุรอานถูกประทานให้แก่ศาสนทูตมุหัมมัด
ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะสัลลัม
จำเป็นจะต้องศรัทธาว่าอัลกุรอานคือคัมภีร์ที่ได้ยกเลิกคัมภีร์ทั้งหลาย
มีความหมายว่าอัลกุรอานเพียงเล่มเดียวเท่านั้นที่จำเป็นจะต้องถูกปฏิบัติตามหลังจากที่ท่านศาสนทูตมุหัมมัด
ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะสัลลัม
ได้ถูกแต่งตั้งขึ้นมา
ซึ่งอัลกุรอานเล่มนี้ได้รวบรวมความพิเศษต่าง
ๆ ในคัมภีร์ก่อนหน้าไว้แล้ว
และได้เพิ่มเติมจากเดิมที่มีอยู่อีกมากมาย
คุณควรทราบว่า อัลกุรอานคือหลักฐานที่สำคัญที่สุดที่บ่งบอกว่าศาสนานี้คือสัจธรรม
ที่ถูกประทานมาจากพระผู้เป็นเจ้า
แน่นอนว่าอัลกุรอานถูกประทานลงมากว่า
1400 ปีแล้ว
ตั้งแต่บัดนั้นจนถึงเวลานี้ก็ยังไม่มีการค้นพบข้อผิดพลาด
และข้อขัดแย้งในอัลกุรอานเลยแม้กระทั่งคำเพียงคำเดียวก็ตาม
ในยุคปัจจุบันนี้ ได้มีการค้นพบความรู้ทางวิชาการใหม่ๆ
ซึ่งปรากฏว่าสิ่งต่าง ๆ
เหล่านี้ได้มีระบุมาแล้วในอัลกุรอานตั้งแต่กาลเวลาอันยาวนานนับพันปี
เช่นเดียวกัน
ตั้งแต่ยุคกาลเวลาที่ผ่านมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันไม่มีการเพิ่มเสริมเติมแต่ง
หรือตัดทอนใด ๆ
ในอัลกุรอานเฉกเช่นที่เคยปรากฏในคัมภีร์ต่าง
ๆ ก่อนหน้า ดังนั้น
อัลกุรอานที่คุณพบในดินแดนอันไกลโพ้น
สุดทางทิศตะวันออก
ก็ไม่มีความแตกต่างกับอัลกุรอานที่คุณพบจากดินแดนอันแสนไกลทางทิศตะวันตกเลย
หากว่าคุณทำการเปิดชมอัลกุรอานที่มีอายุนับร้อยๆ
ปี
คุณก็จะไม่พบสิ่งแตกต่างจากอัลกุรอานที่ถูกจัดพิมพ์ในปัจจุบันแต่อย่างใดแม้เพียงอักษรเดียวก็ตาม
และนี่คือการรักษาจากอัลลอฮฺต่อคัมภีร์เล่มนี้
คือคัมภีร์ของศาสนาสุดท้ายที่มาปิดฉากศาสนาต่างๆ
การพูดถึงอัลกุรอานอาจจะต้องใช้เวลายืดยาวมากเลยทีเดียว
แต่เป็นการเพียงพอแล้วสำหรับคุณ
ที่จะทราบว่าไม่มีอะไรเหมือนกับอัลกุรอานอย่างสิ้นเชิง
ทั้งด้านรูปแบบสำนวน
ผลที่ลึกซึ้งต่อจิตใจ
และเรื่องราวที่เกี่ยวกับสิ่งเร้นลับต่าง
ๆ เป็นต้น
4. การศรัทธาต่อบรรดาศาสนทูต
คือการที่มนุษย์ศรัทธาว่าอัลลอฮฺได้คัดเลือกมนุษย์คนหนึ่งที่ดีเลิศจากมวลมนุษย์ทั้งหลาย
และได้ประทานวะหฺยู (วิวรณ์)แก่เขา
เพื่อทำการเผยแพร่ศาสนาแก่มวลมนุษยชาติ
บรรดาศาสนทูตมีมากมาย อาทิ เช่น นูหฺ อิบรอฮีม ดาวูด
สุลัยมาน ยูซุฟ มูซา และอื่นๆ
อีกมากมาย
ในจำนวนศาสนทูตเหล่านั้นก็คือ อีซา(เยซู)
บุตรของมัรยัม(มาเรียม)
ซึ่งจำเป็นที่เราจะต้องศรัทธาว่าท่านคือศาสนทูตของอัลลอฮฺ
และเป็นศาสนทูตที่ยิ่งใหญ่ ดังนั้น
จึงจำเป็นที่จะต้องศรัทธาต่อการเป็นศาสนทูตของท่าน
รัก และให้เกียติต่อท่าน
บุคคลที่โกรธและไม่ศรัทธาต่อท่าน
แน่นอนเขาไม่มีความเป็นอิสลามในตัวเขาเลย
ดังเช่นจะต้องศรัทธาเช่นกันว่าอัลลอฮฺได้สร้างอีซาโดยปราศจากบิดา
โดยที่พระองค์ได้ส่งมลาอิกะฮฺเพื่อเป่าดวงวิญญานสู่ครรภ์ท่านหญิงมัรยัมและได้กำเนิดศาสนทูตอีซาขึ้นมา
มุสลิมไม่พบหนทางที่จะปฏิเสธสิ่งดังกล่าวนี้ได้
เนื่องจากอัลลอฮฺคือผู้ที่สามารถบันดาลทุกสิ่งที่พระองค์ประสงค์
พระองค์ได้สร้างอีซามาโดยปราศจากบิดาดังเช่นที่พระองค์ได้สร้างศาสนทูตอาดัมโดยปราศจากทั้งบิดาและมารดา
ดังนั้น เราได้รับรู้แล้วว่าอีซา เป็นเพียงศาสนทูตของอัลลอฮฺ
หาได้เป็นพระเจ้า
หรือบุตรของพระเจ้าอย่างที่ได้ถูกกล่าวอ้างไม่
ศาสนทูตอีซาถูกส่งมาพร้อมกับการแจ้งข่าวถึงการปรากฏของศาสนทูตหลังจากท่าน
นั่นคือ มุหัมมัด บุตร อับดุลลอฮฺ
ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะสัลลัม
คือศาสนทูตท่านสุดท้ายและจะไม่มีศาสนทูตหลังจากท่านอีก
ศาสนทูต มุหัมมัด บุตรอับดุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะสัลลัม
ผู้นี้
คือผู้ที่อัลลอฮฺได้ส่งท่านมาเมื่อ
1400 ปีก่อน เป็นบุคคลที่มนุษยชาติทั้งหมดที่มีชีวิตตั้งแต่วันที่ท่านถูกแต่งตั้งจนกระทั่งวันสิ้นโลกจักต้องศรัทธาต่อท่าน
และต่อบทบัญญัติที่ท่านนำมา
เชื่อฟังสิ่งที่ท่านใช้
และละเว้นสิ่งที่ท่านห้าม
บรรดาผู้ที่ศึกษาชีวประวัติของท่านศาสนทูตมุหัมมัด
ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะสัลลัม
ได้กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า
ท่านคือบุคคลที่มีคุณสมบัติอันยิ่งใหญ่
ซึ่งอัลลอฮฺได้มอบความพิเศษแก่ท่าน
ที่ไม่เคยมีในผู้ใดเลยทั้งก่อนหน้าและมาทีหลัง
การศึกษาสิ่งที่ถูกเขียนเกี่ยวกับชีวประวัติของท่านเพียงแค่เล็กน้อย
ก็พอที่บ่งบอกถึงความสัจจริงในสิ่งที่ฉันกล่าวได้แล้ว
เช่นเดียวกันนั้น อัลลอฮฺได้มอบหลักฐานต่าง ๆ
ที่บ่งบอกถึงการเป็นศาสนทูตของท่าน
เป็นหลักฐานที่พอจะทำให้การสงสัยในตัวท่านเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อีกแล้วในทางปัญญา
ผู้ใดก็ตามที่ปฏิเสธการศรัทธาต่อท่านทั้ง ๆ
ที่อัลลอฮฺได้ให้หลักฐานการยืนยันต่าง
ๆ มาแล้ว แน่นอน
เขาผู้นั้นก็จะไม่สามารถยืนยันการเป็นศาสนทูตให้แก่ศาสนทูตผู้ใดได้อีกเลย
5. การศรัทธาต่อวันสิ้นโลก
คือการเชื่อมั่นอย่างหนักแน่นว่าหลังจากชีวิตในโลกนี้จะมีอีกชีวิตหนึ่งที่นิรันดร์และสมบูรณ์กว่า
ซึ่งจะมีการตอบแทน มีความผาสุก
และมีการลงโทษ
ความผาสุกหมายถึง การจะได้อยู่ในสถานพำนักที่ถูกเรียกว่า
สวรรค์
ส่วนการลงโทษก็จะอยู่ในสถานพำนักที่ถูกเรียกว่า
นรก (ญะฮันนัม)
ผู้ที่ศรัทธา และปฏิบัติตามคำสอนของอิสลาม
บั้นปลายของเขาคือสวรรค์
เป็นสถานที่ที่มีแต่ความโปรดปราน
ความผาสุกทุกประเภท
ที่ปัญญาไม่สามารถหยั่งถึง
และความสุขในโลกนี้ไม่สามารถเทียบเคียงความสุขในโลกหน้าได้เลย
บุคคลใดที่ได้เข้าสวรรค์เขาจะพำนักและมีความสุขอย่างไม่มีสิ้นสุดเพราะจะไม่มีการตายเกิดขึ้นอีก
ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่ไม่ศรัทธาและฝ่าฝืนหลักการของอิสลาม
แน่นอนบั้นปลายของเขาจะพำนักในนรกญะฮันนัม
ที่มีไฟลุกโชน
และพบกับประเภทการทรมานที่ปัญญาไม่สามารถหยั่งถึง
เปลวไฟและการลงโทษบนโลกนี้ไม่สามารถเทียบเคียงในวันนั้นได้เลยแม้แต่น้อย
การศรัทธาว่าจะมีการสอบสวน สวรรค์และนรก
หลังจากชีวิตในโลกดุนยาเป็นสิ่งที่ปัญญาสามารถรับได้
เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ชีวิตอันเพรียบพร้อมในโลกนี้จะเกิดขึ้นแล้วก็สูญสลายไปดื้อๆ
หลังจากนั้น นี่เป็นเรื่องที่ไร้สาระ
และอัลลอฮฺพระผู้เป็นเจ้าของเรานั้นทรงบริสุทธิ์จากการทำเรื่องเช่นนี้
6. การศรัทธาต่อการกฎสภาวการณ์
คือ
การชื่อมั่นว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้
ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหว
การหยุดนิ่ง
ล้วนเป็นการรับรู้และประสงค์ของอัลลอฮฺทั้งสิ้น
จะไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
เว้นแต่มันจะเป็นสิ่งที่พระองค์ประสงค์
และสิ่งที่พระองค์ไม่ประสงค์จะไม่เกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด
ซึ่งอัลลอฮฺได้บันทึกทุกสิ่งจะเกิดขึ้นใว้ในสมุดบันทึกอันยิ่งใหญ่ที่เรียกว่า
(อัล-เลาหฺ
อัล-มะหฺฟูซ)
กระดานบันทึกที่ถูกรักษา
การศรัทธาในเรื่องนี้ยังหมายรวมถึงการศรัทธาว่า
อัลลอฮฺทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่างอีกด้วย
ส่วนหลักปฏิบัติที่สำคัญทั้งห้าประการในอิสลาม ได้แก่ :
1.
การที่บุคคลหนึ่งกล่าวประโยคที่เป็นกุญแจเพื่อเข้าสู่อิสลาม
มันคือสัญญาระหว่างมนุษย์กับพระผู้อภิบาลของเขา
เพื่อยืนยันว่าเขาได้ยืนหยัดอยู่บนศาสนานี้
ซึ่งประโยคนี้ได้แก่ :
أشهد ألا إله إلّا الله، وأشهد أن
محمداً رسول الله
อัชฮะดุ อัลลา อิลาฮะ อิลลัล ลอฮฺ
วะ อัชฮะดุ อันนะ มุหัมมะดัร
เราะซูลุล ลอฮฺ
ความว่า : ฉันขอปฏิญานว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ และฉันขอปฏิญานว่า
มุหัมมัดคือศาสนทูตของอัลลอฮฺ
มีใจความว่า เป็นการยืนยัน
ยอมรับและยึดมั่นที่จะเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺเพียงผู้เดียว
และการยอมรับว่าอิสลามคือศาสนาที่เที่ยงแท้
และพระเจ้าที่มีสิทธิในการบูชามีเพียงอัลลอฮฺเท่านั้น
และสิ่งเคารพบูชาอื่นนอกจากพระองค์เป็นโมฆะทั้งสิ้น
รวมทั้ง
ยอมรับว่าศาสนาอื่นนอกเหนือจากอิสลามล้วนเป็นโมฆะเช่นเดียวกัน
ส่วนการยอมรับว่ามุหัมมัด เป็นศาสนทูตของอัลลอฮฺ
คือผู้ที่เป็นมุสลิมจะต้องปฏิบัติตามและเชื่อฟังในทุกสิ่งที่ท่านนำมา
2.การละหมาด
คือคำกล่าว อิริยาบถ
และบทขอพรต่างๆ
ที่ถูกปฏิบัติในรูปแบบเฉพาะ
ห้าครั้งในทุก ๆ วัน
ซึ่งการละหมาดแต่ละครั้งไม่ได้ใช้เวลามากแต่อย่างใดเลย
มันใช้เวลาประมาณแค่ห้านาทีเท่านั้น
การละหมาดคือการติดต่อระหว่างบ่าวและพระผู้อภิบาลของเขา
มุสลิมจะเกิดความรู้สึกเชื่อมั่น สงบ
สุขุม
และผ่อนคลายทางด้านจิตวิญญาณจากการละหมาด
3.การจ่ายซะกาต
คือการที่มุสลิมผู้ที่มีทรัพย์สินจ่ายจำนวนหนึ่งจากทรัพย์ของเขาแก่ผู้ขาดแคลน
ในปริมาณ
2.5%
ของจำนวนทรัพย์เท่านั้น
เป็นจำนวนไม่มาก
แต่มันจะเกิดผลในสังคมมุสลิมให้มีการช่วยเหลือ
มีความเมตตา และความผูกพันกัน
สร้างความรักใคร่และการเป็นพี่น้องซึ่งกันและกัน
ฉันขอเน้นย้ำอีกว่า การจ่ายซะกาตนี้เป็นหน้าที่จำเป็นเฉพาะคนรวย
ส่วนคนจนนั้นไม่ใช่หน้าที่สิ่งจำเป็นสำหรับพวกเขา
4.การถือศีลอด
หมายถึง
การที่บุคคลละเว้นอาหารและเครื่องดื่ม
รวมทั้งการหลับนอนกับภรรยา
ในช่วงเวลาเดือนเราะมะฏอน ของทุก ๆ ปี
ระหว่างเวลาดวงอาทิตย์ขึ้นจนกระทั่งลับขอบฟ้า
การถือศีลอดถูกกำหนดเป็นข้อยกเว้นแก่ผู้ป่วย
และผู้ที่มีข้อยกเว้นอื่น ๆ
พวกเขาสามารถ กิน ดื่ม
ในตอนกลางวันของเราะมะฎอนได้
และถือศีลอดชดใช้ในเวลาต่อมาตลอดทั้งปีหลังจากที่หมดภาวะความจำเป็นแล้วตามจำนวนวันที่ขาดการถือศีลอดในเราะมะฎอน
การถือศีลอดมียังประโยชน์แก่สุขภาพร่างกายและจิตใจ เช่น
การพักระบบย่อยอาหารในร่างกายในบางเวลา
การที่มุสลิมมีความรู้สึกสูงส่งทางจิตวิญญาณ
และมีมารยาทที่สมดุล
และการที่มุสลิมรู้สึกรับรู้ถึงความลำบากของพี่น้องของเขาที่ยากจน
ไม่มีอาหารปะทังชีวิตเพียงพอตลอดทั้งปี
เขาจึงเกิดความถ่อมตนและรีบเร่งในการช่วยเหลือพี่น้องของเขาที่ขาดแคลน
เป็นต้น
5.การประกอบพิธีหัจญ์
หมายถึง
รูปแบบของการประกอบศาสนกิจต่าง ๆ
เป็นการเฉพาะ ณ เมืองมักกะฮฺ
ซึ่งเป็นข้อบังคับเพียงครั้งเดียวในชีวิตมุสลิม
ผู้ที่มีความสามารถทางด้านทรัพย์และสุขภาพร่างกาย
ส่วนผู้ที่ไม่มีความสามารถดังกล่าวก็ถือว่าอนุโลมให้ละเว้นได้
การประกอบพิธีหัจญ์มีประโยชน์มากมาย
เช่น การรวมตัว
ของมุสลิมจากทั่วทุกมุมโลกในสถานที่เดียวกัน
เพื่อทำความรู้จัก
และสร้างความรักซึ่งกันและกัน
และยังเป็นการฝึกฝนความอดทน มารยาท
แสวงหาเพิ่มพูนความศรัทธาและความบริสุทธิ์ทางจิตวิญญาณ
ตลอดระยะเวลาการประกอบพิธีหัจญ์
หลังจากนี้ต่อไป
หวังว่าคำพูดที่ผ่านมาจะเป็นการเพียงพอสำหรับคุณในการอธิบายถึงรูปลักษณ์ของอิสลามอย่างสรุป
ฉันขอเรียกร้องคุณ ผู้ที่ยังไม่เป็นมุสลิมทั้งหลาย
ได้โปรดฟังคำเรียกร้องจากหัวใจที่สัจจริงและเป็นห่วงท่านทั้งหลายว่า
จงครุ่นคิดเถิดก่อนที่ความตายจะมาหาคุณอย่างกะทันหันและคุณก็จะเสียชีวิตในสภาพที่คุณยังไม่เข้ารับอิสลาม
ซึ่งแน่นอนมันจะเป็นการขาดทุนที่ใหญ่หลวง
คุณทราบไหมว่า อะไรคือความหมายของการเสียชีวิตของคุณในสภาพที่ยังไม่เข้ารับอิสลาม?
มันหมายถึง
การที่คุณจะเข้านรกญะฮันนัม
และคุณจะถูกลงโทษในนั้นอย่างนิรันดร์กาล
จะไม่มีที่สิ้นสุด
นี่คือสัญญาของอัลลอฮฺต่อผู้ที่เสียชีวิตในสภาพที่ยังไม่เป็นมุสลิม
และทำไมคุณยังเสี่ยงล่าช้ากับประเด็นที่อันตรายและสำคัญเช่นนี้ด้วยเล่า
?
ฉันจะถามคุณหนึ่งคำถาม
กรุณาตอบตามความเป็นจริง
คุณจะขาดทุนอะไรเมื่อคุณเข้านับถืออิสลาม?
ใช่
อะไรคือสิ่งที่คุณจะเสียมันไปเมื่อคุณเข้ารับอิสลาม?
เมื่อคุณเข้ารับอิสลาม
คุณก็จะใช้ชีวิตอย่างปกติ
แต่จะมีอะไรเพิ่มมากกว่าเดิม นั่นคือ
ความบริสุทธิ์ ความสุข
การมีระบบระเบียบในชีวิต และอื่นๆ
และหลังจากความตาย
ความสุขที่ยิ่งใหญ่และถาวรก็กำลังรอคุณอยู่
และเมื่อคุณมั่นใจว่าอิสลามนั้นถูกต้อง
แต่คุณกลัวว่าการรับอิสลามจะขัดขวางคุณจากความเพลิดเพลินกับการละเล่นและความบันเทิงที่คุณขาดมันไม่ได้
ก็โปรดเปรียบเทียบระหว่างความเอร็ดอร่อย
เพลิดเพลินอันแสนสั้นและมีขีดจำกัดนี้
กับความโปรดปราน ความสุข
และความสนุกสนานอันถาวร
อะไรสมควรที่คุณจะเลือกมัน?
คุณสามารถเข้ารับอิสลาม
และพยายามละทิ้งข้อห้ามที่เคยทำมาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
และเมื่อคุณวิงวอนขอต่ออัลลอฮฺด้วยความสัจจริง
แน่นอนพระองค์ก็จะช่วยท่าน
อย่างไรก็ตาม
ถ้าคุณยังไม่สามารถละทิ้งมันได้ในขณะที่คุณรับอิสลามแล้ว
สภาพที่แย่ที่สุดก็คือคุณเป็นมุสลิมที่ทำบาปและเป็นผู้บกพร่อง
ซึ่งสภาพที่แย่ที่สุดนี้ก็ยังดีกว่าการที่คุณไม่ได้เป็นผู้ศรัทธา
หากคุณคิดว่าสุดท้ายนี้
การเข้ารับอิสลามจะทำให้คุณ
มีบุคลิกภาพที่ลดลง
และคุณยังไม่สามารถพอที่จะตัดสินใจ
หรือคุณอาจจะกลัวคำพูดของผู้คน
หรือคำเยาะเย้ยจากพวกเขา
โปรดทราบเถิดว่า
สิ่งดังกล่าวนั้นเป็นแค่ข้อระแวงที่ไม่เป็นความจริง
คุณไม่ใช่บุคคลแรกที่เข้ารับอิสลาม
แต่ผู้คนมากมายนอกเหนือจากคุณที่ได้ตัดสินใจสู่อิสลาม
โดยที่การใช้ชีวิตของพวกเขาไม่พังทลาย
ไม่มีการขาดทุนใดๆ
และพวกเขาไม่เสียใจเลยที่เลือกอิสลาม
และมันคุ้มแล้วหรือที่คุณจะแลกความสุขของคุณบนโลกนี้และโลกหน้ากับเพียงคำพูดคำดูถูกของคนแค่ไม่กี่คน?
และนี่เป็นประเด็นที่สำคัญยิ่ง
ที่คุณจะต้องหยุดใคร่ครวญและพิจารณามันให้นาน
ขอฝากคำพูดสุดท้ายของฉันแก่คุณว่า
: จงระวังอย่าให้ตัวเองเป็นผู้ที่ขาดทุน
สุดท้าย ฉันขอวิงวอนต่ออัลลอฮฺได้โปรดนำทางให้แก่คุณสู่สัจธรรมด้วยเถิด
ด้วยปรารถนาให้คุณได้พบกับสิ่งดีๆ จากผู้เขียน
ดร. ศอลิหฺ บิน อับดุลอะซีซ